ประวัติ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย โดยสังเขป
เมื่อปีพุทธศักราช 2436 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้ตั้งวิทยาลัยขึ้นในบริเวณวัดบวรนิเวศวิหาร ทรงพระราชทานนามว่า “มหามกุฏราชวิทยาลัย” เพื่อเป็นที่ศึกษาเล่าเรียนของพระภิกษุสามเณร ทรงอุทิศพระราชทรัพย์บำรุงประจำปีและก่อสร้างสถานศึกษาของมหาวิทยาลัย
ครั้นเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2439 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเปิดมหามกุฏราชวิทยาลัย พระองค์ทรงอุปถัมภ์ด้วยทรงพระราชทานพระราชทรัพย์บารุงประจำปี อาศัยพระราชประสงค์ดังกล่าวแล้วนั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส จึงทรงตั้งพระวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินกิจการของมหาวิทยาลัยขึ้น 3 ประการ ดังนี้
- 1. เพื่อเป็นสถานศึกษาของพระภิกษุสามเณร
- 2. เพื่อเป็นสถานศึกษาวิทยาการอันเป็นของชาติภูมิ และของต่างประเทศ
- 3. เพื่อเป็นสถานที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา
เมื่อกิจการของมหามกุฏราชวิทยาลัยได้ดำเนินแล้วปรากฏว่า พระวัตถุประสงค์เหล่านั้นได้รับผลเป็นที่น่าพอใจตลอดมา
เพื่อที่จะให้พระวัตถุประสงค์เหล่านั้นได้ผลดียิ่งขื้น ดังนั้น เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2488 สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ในฐานะที่ทรงเป็นนายกกรรมการมหามกุฏราชวิทยาลัยพร้อมด้วยพระเถรานุเถระ จึงได้ประกาศตั้งสถาบันการศึกษาชั้นสูงในรูปมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาขึ้นโดยอาศัยนามว่า “สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์” โดยมีจุดมุ่งหมาย คือ
- 1. เพื่อให้เป็นสถานศึกษาพระปริยัติธรรม
- 2. เพื่อให้เป็นสถานศึกษาวิทยาการอันเป็นของชาติภูมิ และต่างประเทศ
- 3. เพื่อให้เป็นสถานศึกษาเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั้งในประเทศ และนอกประเทศ
- 4. เพื่อให้พระภิกษุสามเณรมีความรู้ และความสามารถในการบำเพ็ญประโยชน์แก่ ประชาชน
- 5. เพื่อให้พระภิกษุสามเณรมีความรู้ และความสามารถในการค้นคว้าโต้ตอบ หรืออภิปรายธรรมได้อย่างกว้างขวางแก่ชาวไทย และชาวต่างประเทศ
- 6. เพื่อความเจริญก้าวหน้า และคงอยู่ตลอดกาลนานของพระพุทธศาสนา
ทั้งนี้ ภายใต้การบริหารของคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า กรรมการสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย ปัจจุบันเรียกว่า กรรมการสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย สถาบันแห่งนี้เริ่มเปิดให้มีการอบรมการศึกษาแก่พระภิกษุสามเณรตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2489 จนถึงปัจจุบัน
สถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัยแต่เดิมนั้นตั้งอยู่ที่หอสมุดมหาวิทยาลัยหน้าวัดบวรนิเวศวิหาร ต่อมาคณะกรรมการพิจารณาเห็นว่าสถานที่แห่งนี้คับแคบขยับขยายได้ยากไม่เพียงพอกับจำนวนพระนักศึกษาที่เพิ่มขึ้นด้วยเหตุนี้คณะกรรมการจึงดำเนินการก่อสร้างอาคารหลังใหม่ขึ้นมาหลังหนึ่งภายในวัดบวรนิเวศวิหารเป็นอาคารทรงไทย 3 ชั้นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมวชิรญาณวงศ์ได้ทรงวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2498 เมื่ออาคารใหม่นี้สร้างสำเร็จแล้วจึงได้ย้ายกิจการของสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัยจากตึกหอสมุดมหามกุฏราชวิทยาลัยมาที่อาคารหลังใหม่เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2501 จนถึงปัจจุบัน
พ.ศ. 2527 สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการพระพุทธศานาให้ผู้สำเร็จวิชาการพระพุทธศานา ตามหลักสูตรศาสนศาสตรบัณฑิต จากสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระราชูปถัมภ์ มีวิทยฐานะชั้นปริญญาตรีเรียกว่า “ศาสนศาสตรบัณฑิต” ให้อักษรย่อว่า “ศน.บ.” พระราชบัญญัตินี้มีผลบังคับใช้สำหรับผู้สำเร็จก่อนวันที่ประกาศให้พระราชบัญูญัตินี้ด้วย
เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2530 สภามหาวิทยาลัยอนุมัติให้จัดตั้งบัณฑิตวิทยาลัย เพื่อจัดการศึกษาในระดับปริญญาโท โดยมี 2 สาขาวิชา คือสาขาวิชา พุทธศาสนนิเทศ และ สาขาวิชา พุทธศาสนาและปรัชญา ได้เปิดทำการสอนในวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2531 ผู้สำเร็จการศึกษามีสิทธิ์รับปริญญาศาสนศาสตรมหาบัณฑิต ให้อักษรย่อว่า “ศน.ม.”
อนึ่ง ตั้งแต่ปีการศึกษา 2537 เป็นต้นมา ได้เปลี่ยนชื่อสาขาวิชาพุทธศาสนนิเทศ (Buddhist Mission process) เป็น สาขาวิชา พุทธศาสน์ศึกษา (Buddhist studies)
พ.ศ. 2535 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประธานคณะกรรมการการศึกษาของคณะสงฆ์ได้ประกาศใช้ระเบียบของคณะกรรมการการศึกษาของคณะสงฆ์ ว่าด้วยการจัดการศึกษาของสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย พ.ศ. 2535
เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2540 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยแล้ว นายกรัฐมนตรีได้ทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ได้ทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ.2540 แล้วประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2540 (เล่มที่ 114 ตอนที่ 51 ก)
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ในปัจจุบัน (2551) ประกอบด้วย
(1) วิทยาเขตตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาค รวม 7 แห่ง คือ
- 1. วิทยาเขตมหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัย (มมร.มวก.) วัดชูจิตธรรมาราม เลขที่ 57 หมู่ที่ 1 ตำบลสนับทึบ อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13170
- 2. วิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัย (มมร.สธ.) วัดสิรินธรเทพรัตนาราม ในพระราชูปถัมภ์ เลขที่ 26 หมู่ที่ 7 ถนนเพชรเกษม ตำบลออมใหญู่ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม 73160
- 3. วิทยาเขตอีสาน (มมร.อส.) เลขที่ 106 ถนนราษฏร์คนึง บ้านโนนชัย ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น 40000
- 4. วิทยาเขตล้านนา (มมร.ลน.) วัดเจดีย์หลวง เลขที่ 103 ถนนพระปกเกล้า ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50200
- 5. วิทยาเขตศรีธรรมาโศกราช (มมร.ศศ.) เลขที่ 169/9 ถนนราชดำเนิน ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช 80000
- 6. วิทยาเขตร้อยเอ็ด (มมร.รอ.) เลขที่ 148 ถนนเลี่ยงเมือง ตำบลดงลาน อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด 45000
- 7. วิทยาเขตศรีล้านช้าง (มมร.ศช.) วัดศรีสุทธาวาส เลขที่ 253/7 ถนนวิสุทธิเทพ ตำบลกุดป่อง อำเภอเมือง จังหวัดเลย 42000
(2) วิทยาลัย ตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาค รวม 3 แห่ง คือ
- 1. มหาปชาบดีเถรีวิทยาลัย ในสังฆราชูปถัมภ์ เลขที่ 95 หมู่ที่ 7 ตำบลภูหลวง อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา 30000
- 2. วิทยาลัยศาสนศาสตร์ยโสธร วัดศรีธรรมาราม เลขที่ 1 ถนนวิทยธำรงค์ อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร 35000
- 3. วิทยาลัยศาสนศาสตร์เฉลิมพระเกียรติกาฬสินธุ์ ตำบลกาฬสินธุ์ อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ 46000
ปรัชญาการศึกษา
ของ
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
ปรัชญามหาวิทยาลัย
ความเป็นเลิศทางวิชาการตามแนวพระพุทธศาสนา
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยมีความเชื่อมั่นว่า พระพุทธศาสนาเป็นปรัชญาชีวิตอันประเสริฐ สามารถช่วยป้องกันแก้ไขและดับปัญหาอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ คือ ความทุกข์ได้สมควรเผยแผ่ให้กว้างขวางออกไปในระดับโลก; พระพุทธศาสนาเป็นมรดกทางปัญญาและทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของไทย ที่ควรถนอมรักษาไว้แม้ด้วยชีวิต; มนุษย์เกิดมาพร้อมกับด้วยศักยภาพที่จะพัฒนาการเรียนรู้ได้ตั้งแต่ระดับรู้จำ (สัญญา) จนถึงขั้นรู้จบ (โพธิ) และ สามารถจะเปลี่ยนแปลงตนเองจากความเป็นปุถุชนไปสู่ความเป็นอริยชนได้ ถ้าได้รับการศึกษาที่ถูกต้อง
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย มุ่งจะผลิตบุคลากรทางพระพุทธศาสนาที่ประกอบด้วยคุณสมบัติ 5 ประการ คือ มีความรู้ดีทั้งทางธรรมและทางโลกมีความสามารถดีในการคิดเป็น พูดเป็น ทำเป็น มีคุณธรรมและจริยธรรมประจำกาย วาจา ใจ มีอุดมคติ และมีอุดมการณ์ มุ่งอุทิศชีวิตบำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านเป็นพุทธบูชา
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย มุ่งจัดกระบวนการศึกษาให้ครบวงจรตามหลักพุทธธรรมคือให้มีทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ในด้านปริยัติ จะช่วยให้นักศึกษาเกิดความรู้ทะลุปรุโปร่งด้วยทิฏฐิ (ทิฏฺฐิยา สุปฎิวิทฺธา) เป็นอย่างต่ำในด้านปฏิบัติจะให้นักศึกษาเกิดประสบการณ์ครบทั้ง 3 คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ในด้านปฏิเวธ จะให้นักศึกษาเกิดสัมมาทิฏฐิ และ อจลสัทธาในพระพุทธศาสนา เป็นพุทธมามกะชั้นกัลยาณปุถุชนเป็นอย่างต่ำ
ความหมายของตราประจำ
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
พระมหามงกุฏ หมายถึง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ผู้ทรงเป็นที่มาแห่งนาม “มหามกุฏราชวิทยาลัย”
พระเกี้ยวประดิษฐานบนหมอนรอง หมายถึง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นผู้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้งมหามกุฏราชวิทยาลัย และพระราชทานพระราชทรัพย์บำรุงปีละ 60 ชั่ง
หนังสือ หมายถึง คัมภีร์และตำราทางพระพุทธศาสนา โดยมหามกุฏราชวิทยาลัย จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นแหล่งผลิตคัมภีร์ และตำราทางพระพุทธศาสนาสำหรับส่งเสริมการศึกษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ปากกาปากไก่ ดินสอและม้วนกระดาษ หมายถึง อุปกรณ์ในการศึกษาเล่าเรียน ตลอดถึงอุปกรณ์ในการผลิตคัมภีร์และตำราทางพระพุทธศาสนาเพราะมหามกุฏราชวิทยาลัย ทำหน้าที่เป็นทั้งสถานการศึกษาและแหล่งผลิตตำราทาง พระพุทธศาสนา
ช่อดอกไม้แย้มกลีบ ในทางการศึกษา หมายถึง ความเบ่งบานแห่งสติปัญญาและวิทยาความรู้ในทางพระศาสนา หมายถึง กิตติศัพท์กิตติคุณที่ฟุ้งขจรไปดุจกลิ่นแห่งดอกไม้ ความหมายรวมก็คือ ความเจริญรุ่งเรืองและเกียรติยศชื่อเสียง เกียรติยศ อิสริยยศ บริวารยศ
พานรองรับหนังสือหรือคัมภีร์ หมายถึง มหามกุฏราชวิทยาลัย เป็นสถาบันเพื่อความมั่นคงและแพร่หลายของพระพุทธศาสนา ทั้งในด้านการศึกษาและการเผยแผ่
วงรัศมี หมายถึง ความเจริญรุ่งโรจน์ของพระพุทธศาสนา ที่บังเกิดขึ้นจากกิจกรรมของมหามกุฏราชวิทยาลัย ภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ของพระมหากษัตริย์ไทย
มหามกุฏราชวิทยาลัย หมายถึง สถาบันการศึกษาของพระสงฆ์ เปิดการศึกษาระดับปริญญาตรี ปัจจุบัน คือมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ตั้งอยู่ที่ 248 ม.1 ถนนศาลายา-นครชัยศรี ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170