วันอาทิตย์ที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เวลา ๑๓.๓๐ น. ที่ห้องประชุมอาคารอาคารสุชีพ ปุญญานุภาพ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก นายกสภามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เสด็จมาทรงเป็นประธานในพิธีประทานปริญญาบัตร ประจำปี ๒๕๖๒ โดยมีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ อุปนายกสภามหาวิทยาลัย พระราชปฏิภาณโกศล, ผศ.ดร. อธิการบดีมหาวิทยาลัย พร้อมด้วยกรรมการสภามหาวิทยาลัย ผู้บริหาร คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ บัณฑิตใหม่และพุทธศาสนิกชนถวายการต้อนรับ

สำหรับพิธีประทานปริญญาบัตร ประจำปี ๒๕๖๒ นี้ สภามหาวิทยาลัยได้อนุมัติปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จำนวน ๑๐ รูป/คน ปริญญาดุษฎีบัณฑิต จำนวน ๑๐ คน ปริญญามหาบัณฑิต จำนวน ๙๕ รูป/คน และปริญญาบัณฑิต จำนวน ๑,๒๕๘ รูป/คน รวมทั้งสิ้น ๑,๓๖๓ รูป/คน

 

ภายหลังประทานปริญญาเสร็จแล้ว สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก นายกสภามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ประทานพระโอวาทความว่า “ท่านผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, บัณฑิตใหม่ และสาธุชนทุกท่าน ในโอกาสที่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ได้รับปริญญาบัตรในวันนี้ ขอถวายมุทิตาและขอแสดงมุทิตาแก่ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ดุษฎีบัณฑิต มหาบัณฑิต และบัณฑิตทุกรูป ทุกคน ขออนุโมทนาในความวิริยอุตสาหะของคณะผู้บริหาร คณาจารย์ และบุคลากร ที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันนำพามหาวิทยาลัย ให้เจริญก้าวหน้ามาโดยลำดับ

 

ในฐานะที่เราต่างก็สำเร็จการศึกษามาจากสถาบันนี้เหมือนกัน วันนี้จึงขอปรารภข้อคิดบางประการกับท่านสักเล็กน้อยเหมือนเช่นทุกปีในฐานะรุ่นพี่ พูดกับรุ่นน้องทุกท่านที่สำเร็จการศึกษา ล้วนเป็นผู้ทรงศักดิ์ และสิทธิ์ แห่งปริญญาบัตรสมตามภูมิรู้ที่ตนมีจากการศึกษาเล่าเรียนในมหาวิทยาลัย อย่างไรก็ดี การได้รับศักดิ์และสิทธิ์เช่นว่านี้ เป็นเพียงพันธสัญญาเบื้องต้น ของการนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับมาจากการศึกษาในมหาวิทยาลัย ไปใช้ประกอบกิจการงาน ให้บังเกิดความเจริญก้าวหน้าแก่การพระศาสนา และชาติบ้านเมือง ขอบัณฑิตทั้งหลายอย่าประมาท หลงผิดคิดไปว่าเมื่อมีปริญญา แปลว่ามีความรู้มากพอแล้ว ก่อให้เกิดทิฐิมานะว่าเป็นคนเก่งหรือคนดีกว่าคนอื่น ความนึกคิดเช่นนี้จัดเป็นกิเลสอันร้ายกาจอย่างหนึ่ง ซึ่งจักนำพาความเสื่อมมาสู่ตนและสังคมส่วนรวม

 

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพร่ำสอนย้ำเตือนพุทธบริษัททั้งหลายไว้ว่า “มนต์มีการไม่ท่องบ่นเป็นมลทิน” นั่นย่อมหมายถึงว่าสรรพวิชาความรู้ที่เราได้เล่าเรียนศึกษามาแล้ว หากไม่รู้จักเอาใจใส่ทบทวน และศึกษาเพิ่มเติม ในที่สุดก็ย่อมเป็นมลทิน และยังทรงสรุปความเป็นมลทินที่ร้ายแรงที่สุดไว้ว่า “มลทินที่ยิ่งกว่านั้น คือ อวิชชา เป็นมลทินอย่างยิ่ง” เพราะฉะนั้น จึงขอให้ทุกท่าน กวดขันตนเองให้มีความวิริยอุตสาหะในอันที่จะขวนขวายศึกษาเรียนรู้ในสรรพวิชชาอยู่เป็นนิตย์ เพื่อกำจัดอวิชชาให้เบาบางและหมดสิ้นไป บังเกิดคุณประโยชน์ยิ่งใหญ่ เป็นความงอกงามไพบูลย์ทั้งทางโลกและทางธรรม สมปณิธานปรารถนาของบัณฑิตผู้ต่างมุ่งหวัง ความเจริญก้าวหน้าด้วยกันทุกรูป ทุกคน

 

ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย ประกอบกับความมีดวงจิตหนักแน่นมั่นคงในสุจริตธรรม จงดลบันดาลความงอกงามไพบูลย์ให้บังเกิดขึ้นแก่ชีวิตของบัณฑิต และขอให้ทุกท่านที่มาประชุมพร้อมกัน ณ ที่นี้ จงประสบความสุขสวัสดีโดยทั่วกัน เทอญ”